วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

วงมโหรี

วงมโหรี

     วงมโหรีเกิดจากการประสมกันระหว่างวงปี่พาทย์และวงเครื่องสาย เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยอยุธยา มีวิวัฒนาการมาจากวงขับไม้
ตัวอย่างวงมโหรี

1. วงมโหรีเครื่องสี่
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี
1. ทับ(โทน)
2. กรับพวง
3. ซอสามสาย
4. กระจับปี่


2. วงมโหรีเครื่องหก
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี
 1. ทับ(โทน)
 2. ขลุ่ยเพียงออ
 3. รำมะนา
 4. ซอสามสาย
 5. ฉิ่ง
 6. กระจับปี่


3.วงมโหรีเครื่องเล็ก
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี
1. ฉิ่ง
2. โทน
3. รำมะนา
4. ขลุ่ยเพียงออ
5. ฆ้องวงใหญ่
6. ซอด้วง
7. ซอสามสาย
8. ซออู้
9. ระนาดเอก
10. จะเข้
4. วงมโหรีเครื่องคู่
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี
1. ซอสามสาย 1 คัน 
2. ซอสามสายหลีบ 1 คัน 
3. ซอด้วง 2 คัน 
4. ซออู้ 2 คัน 
5. จะเข้ 2 ตัว 
6. ขลุ่ยเพียงออ 1 เลา 
7. ขลุ่ยหลีบ 1 เลา 
8. ระนาดเอก 1 ราง 
9. ระนาดทุ้ม 1 ราง 
10. ฆ้องวง 1 วง 
11. ฆ้องวงเล็ก 1 วง 
12. โทน 1 ลูก
13. รำมะนา 1 ลูก 
14. ฉิ่ง 1 คู่
15. ฉาบเล็ก 1 คู่

5. วงมโหรี
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี
1. ซอสามสาย
2. ซอสามสายหลิบ
3. ซอด้วง 2 คัน
4. ซออู้  2 คัน
5. จะเข้ 2 คัน
6. ขลุ่ยเพียงออ
7. ขลุ่ยหลิบ 
8. ระนาดเอก
9. ระนาดทุ่ม
10. ระนาดเอกเหล็ก 
11. ระนาดทุ่มเหล็ก
12. ฆ้องวงใหญ่
13. ฆ้องวงเล็ก
14. โทน
15. ฉิ่ง
16. ฉาบเล็ก
17. กรับ
18. โหม่ง
19. รำมะนา


ที่มา

วงปี่พาทย์

วงปี่พาทย์
     วงปี่พาทย์ เป็นวงดนตรีไทยประเภทหนึ่งซึ่งประกอบด้วย เครื่องเป่า คือ ปี่ ผสมกับเครื่องตี ได้แก่ ระนาดและฆ้องวงชนิดต่างๆ เป็นหลัก และยังมีเครื่องกำกับจังหวะ เช่น ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง ตะโพน กลองทัด กลองแขก และกลองสองหน้า ปี่พาทย์นี้บางสมัยเรียกว่า "พิณพาทย์"
 ตัวอย่างวงปี่พาทย์

1. วงปี่พาทย์เครื่องห้า
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี
1. ปี่
2. ระนาด
3. ฆ้องวง
4. ตะโพน
5. กลองทัด
6. ฉิ่ง

2. วงปี่พาทย์เครื่องคู่
      พอมาในรัชสมัยรัช กาลที่ 3 วงปี่พาทย์ก็มีอันต้องเจริญเติบโตขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อครูดนตรีไทย ได้คิดขึ้นเครื่องดนตรีข ึ้นใหม่อีก 2 ชนิดขึ้น คือ "ระนาดทุ้ม" สร้างขึ้นมาคู่กับ ระนาด ของเดิม และเรียกระนดาของเดิมมาระนา ดเอก ที่แปลว่า 1 หรือที่ 1 และ "ฆ้องวงเล็ก" สร้างขึ้นมาคู่กับฆ้องวงเดิม ฆ้องวงเดิมมีขนาดใหย่ กว่าฆ้องที่สร้างขึ้นมาใหม่ จึงเรียกฆ้องวงเดิมว่า ฆ้องวงใหญ่ และของใหม่ว่า ฆ้องวงเล็ก
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี
1. ปี่ใน
2. ปี่นอก
3. ระนาดเอก
4. ระนาดทุ้ม
5. ฆ้องวงใหญ่
6. ฆ้องวงเล็ก
7. ตะโพน
8. กลองทัด
9. ฉิ่ง
3. วงปี่พาทย์เครื่องใหญ่
      พอเข้าใสมัยรัชกาล ที่ 4 ดนตรีไทยเรามีเครื่องดนตรีไทยชิ้ยใหม่ขึ้นมาอีก 2 ชิ้น ก็คือ ระนาดเอกเหล็ก และระนาดทุ้มเหล็ก โดยดัดแปล งเลียนแบบมาจาก ระนาดเอก และระนาดทุ้มเดิม แต่ใช้โลหะมาในการทำลูกระนาด และลักษณะของรางที่แตกต่างจากของเด ิมคือ ไม่ว่าจะเป็นระนาดเอกเหล้ก หรือระนาดทุ้มเหล็ก จะมีลักษณะเหมือนกล่อง 
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี
1. ปี่ใน
2. ปี่นอก
3. ระนาดเอก
4. ระนาดทุ้ม
5. ระนาดเอกเหล็ก
6. ระนาดทุ้มเหล็ก
7. ฆ้องวงใหญ่
8. ฆ้องวงเล็ก
9. ตะโพน
10. กลองทัด
11. ฉิ่ง
 

4. วงปี่พาทย์นางหงส์
     วงปี่พาทย์นางหงส์ เด ิมเป็นวงที่ใช้บรรเลงในงานศพของสามัญชน ต่อมาได้นำมาบรรเลงในงานสวดพระอภิธรรมศพเจ้านาย และใช้ในตอนถวาย พระเพลิงพระบรมศพ พระศพ เมื่อครั้งงานพระบรมศพของสมเด็จพระศรีนครินทรา บรมราชชนนี สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มีพระประสงค์ให้นำวงปี่พาทย์นางหงส์ ของกรมศิลปากรมาประโคมย่ำยาม ต่อ จากวงประโคมของงานเครื่องสูง สำนักพระราชวัง จึงนับเป็นครั้งแรกที่ได้นำวงปี่พาทย์นางหงส์มาใช้ในงานพ ระบรมศพด้วย
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี 
 1. ฉาบเล็ก
 2. กรับ
 3. โหม่ง
 4. ฆ้องวงใหญ่
 5. ฆ้องวงเล็ก
 6. กลองมลายู
 7. ปี่ชวา
 8. ระนาดเอก
 9. ระนาดทุ้ม

 5.วงปี่พาทย์มอญ
      วงปี่พาทย์มอญในปัจจุบันที่ เราพบเห็นกันทั่วไป แท้จริงก็คือเครื่องดนตรีไทยผสมกับเครื่องดนตรีมอญ 5 ชนิด โดยผู้ที่นำฆ้องมอญวงแรกเข้ามาก็คือ ครูสุ่ม ดนตรีเจริญ ซึ่งในปัจจุบันตระกูลนี้ได้ตั้งรกรากอยู่แถว จังหวัดปทุมธานี ส่วนฆ้องมอญวงแรกก็อยู่ที่ พิพิธภัณฑ์สถาน แห่งชาติ และต่อมาภายหลัง ฆ้องมอญได้ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยช่างฝีมือชาวไทยซึ่งได้พัฒนามาจ นมีความสวยงาม ขึ้นกว่าเดิมมาก
 ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี
 1. เปิงมางคอก
 2. ตะโพนมอญ
 3. ฉิ่ง
 4. โหม่งราว
 5. ระนาดเอก
 6. ปี่มอญ
 7. ฆ้องมอญวงใหญ่
วงปี่พาทย์มอญเครื่องห้า
 
6.วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์
       "วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์" นั่นมีความหมายถึงวงปี่พาทย์ที่ปรับปรุงขึ้นเพื ่อใช้สำหรับการแสดงละครดึกดำบรรพ์ซึ่ง เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว.หลาน กุญชร) และ สมเด็จพระเจ ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ร่วมกันปรับปรุงขึ้นโดย อาศัยแนวอุปรากร (Opera) ของ ตะวันตกเข้าประกอบ
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี
1. ระนาดเอก
2. ระนาดทุ้ม
3. ระนาดทุ้มเหล็ก
4. ฆ้องวงใหญ่
5. ฆ้องหุ่ย ๗ ใบ
6. ขลุ่ยเพียงออ
7. ตะโพน
8. กลองตะโพน
9. ฉิ่ง
10. ซออู้
11. ขลุ่ยอู้

 
ที่มา 
http://www.patakorn.com/ 

วงเครื่องสาย

วงเครื่องสาย
     วง เครื่องสายประกอบด้วยเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย อันได้แก่เครื่องสี (ซอด้วงและซออู้) และเครื่องดีด (จะเข้) เป็นหลัก มีเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเป่า (ขลุ่ย) เป็นส่วนประกอบ ใช้โทนรำมะนาบรรเลงจังหวะหน้าทับ และใช้ฉิ่ง ฉาบ กรับ โหม่ง ร่วมบรรเลงประกอบจังหวะ วงเครื่องสายเป็นวงดนตรีประเภทที่ใช้บรรเลงขับกล่อมเพื่อความบันเทิงเริง รมย์ เหมาะสำหรับการบรรเลงในอาคาร นิยมใช้บรรเลงในงานมงคล เช่น พิธีมงคลสมรสและงานเลี้ยงสังสรรค์ เป็นต้น และมิได้ใช้บรรเลงสำหรับประกอบการแสดงนาฏศิลป์ 
ตัวอย่างวงเครื่องสาย

1. วงเครื่องสายเดี่ยว
     เป็นวงดนตรีที่เหมาะสำหรับก ารบรรเลงในอาคาร ในลักษณะของการขับกล่อมที่เป็นพิธีมงคล เช่น พิธีมงคลสมรสและงานเลี้ยงสังสรรค์ เป็นต้น วงเครื่องสายไทยนี้มักจะเรียกกันสั้นๆ ว่า “วงเครื่องสาย” มีอยู่ ๒ ขนาด คือ วงเครื่องสายเครื ่องเดี่ยว และวงเครื่องสายเครื่องคู่ 
วงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีอย่างละ 1 ชิ้น ได้แก่
เครื่องดำเนินทำนอง   
1. ขลุ่ยเพียงออ ๑ เลา
2. จะเข้ ๑ ตัว
3. ซอด้วง ๑ คัน
4. ซออู้ ๑ คัน

เครื่องประกอบ และกำกับจังหวะ
1. ฉิ่ง

2. โทน-รำมะนา
3. กรับ
4. โหม่ง
5. ฉาบ (เล็ก)

2. วงเครื่องสายคู่
     ใช้รูปแบบที่ยึดจากวงเครื่องสายเครื่องเดี่ยว โดยเพิ่มเครื่องดนตรีในประเภทเครื่องดำเนินทำนองไปอีก อย่างละ 1 ชิ้น เพื่อให้เป็นคู่กัน เป็นที่มาของคำว่า "เครื่องคู่" รูปแบบของวงเครื่องสายเครื่อง คู่ จะมีเสียงที่หนักแน่นกว่าเครื่องสายเครื่องเดี่ยว เพราะมีการประสานเสียงกันเองของเครื่องดนตรีท ี่เป็นชนิดเดียวกัน ทำให้เสียงดัง และหนักแน่นขึ้น

เครื่องดนตรีในวงเครื่องสายเครื่องคู่
เครื่องดำเนินทำนอง
1. ขลุ่ยเพียงออ ๑ เลา
2. ขลุ่ยหลิบ ๑ เลา
3. จะเข้ ๒ ตัว
4. ซอด้วง ๒ ค ัน
5. ซออู้ ๒ คัน

เครื่องประกอบ และกำกับจังหวะ
1. ฉิ่ง
2. โทน-รำมะนา
3. ฉาบ (เล็ก)
4. กรับพวง
5. โหม่ง
3. วงเครื่องสายปี่ชวา 
       ประกอบด้วยเครื่องดนตรีในวงเครื่องสายไทยเป็นหลัก และนำเอาปี่ชวามาบรรเลงแทนขลุ่ยเพียงออคงไว้แต่เพียงขลุ่ยหลิบซึ่งมีเสียง สูง และเปลี่ยนมาใช้กลองแขกบรรเลงจังหวะหน้าทับแทน วงเครื่องสายปี่ชวามี ๒ ขนาด คือ วงเครื่องสายปี่ชวาวงเล็กและวงเครื่องสายปี่ชวาวงใหญ่

3.1 วงเครื่องสายปี่ชวาเครื่องเดี่ยว
ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรี
1. ปี่ชวา ๑ เลา
2. ขลุ่ยหลิบ ๑ เลา
3. ซอด้วง ๑ คัน
4. ซออู้ ๑ คัน
5. จะเข้ ๑ ตัว
6. กลองแขก ๑ คู่
7. ฉิ่ง ๑ คู่

3.2 วงเครื่องสายปี่ชวาเครื่องคู่
ประกอบด้วยเครื่องดนตรี
1. ปี่ชวา ๑ เลา
2. ขลุ่ยหลิบ ๑ เลา
3. ซอด้วง ๒ คัน
4. ซออู้ ๒ คัน
5.จะเข้ ๒ตัว
6. กลองแขก ๑ คู่
7. ฉิ่ง ๑ คู่

4. วงเครื่องสายผสม 
      เป็นวงดนตรีที่ประกอบด้วยเครื่องดนตรีอย่างที่สังกัดในวงเครื่องสายไทย เพียงแต่เพิ่มเอาเ ครื่องดนตรีที่อยู่นอกเหนือจากวงเครื่องสายไทย หรืออาจจะเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมือง หรือเครื่องดนตรีของต่างชาติก็ได้ มาบรรเลงร่วมด้วย เช่น ไวโอลิน ออร์แกน ขิม หีบเพลงชัก เปียโน ระนาด แคน (หรือแม้แต่ซอสามสายอันเป็นเครื่อ งสีก็ตาม) เป็นต้น ซึ่งเครื่องดนตรีที่นำมาผสมนั้นต้องคำนึงถึงคุณลักษณะของเสียงด้วยว่ามีความ กลมกลืนมาก น้อยเพียงใด
รูปแสดง ตัวอย่างของวงเครื่องสายผสมแบบต่างๆ
วงเครื่องสายผสมเปียนโน-ไวโอลิน

วงเครื่องสายผสมขิม
 
วงเครื่องสายผสมปี่พาทย์

ที่มา
http://www.patakorn.com/

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

ประเภทวงดนตรีไทย

ประเภทวงดนตรีไทย
 ประเภทของวงดนตรีไทย แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ
1. วงเครื่องสาย
2. วงปี่พาทย์
3. วงมโหรี

คีตกวีไทย "หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)"

หลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)

     เป็นบุตรครูสิน ศิลปบรรเลง ซึ่งเป็นศิษย์ของพระประดิษฐ์ไพเราะ เป็นคนจังหวัด สมุทรสงคราม มีฝีมือในการตีระนาดที่หาตัวจับยาก จึงมีชื่อเสียงโด่งดัง ครั้นได้ตีระนาดถวายสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธ์ ก็ได้รับรางวัลมากมาย และได้ประทานตำแหน่งเป็น "จางวางมหาดเล็กในพระองค์" คนทั่วไปจึงเรียกว่า "จางวางศร"
นอกจากระนาดแล้ว ท่านยังสามารถบรรเลงปี่ได้ดี และสามารถคิดหาวิธีเป่าปี่ให้ เสียงสูงขึ้นกว่าเดิมได้อีก 2 เสียง
ในด้านการแต่งเพลง ท่านสามารถแต่งเพลงได้เร็ว และมีลูกเล่นแพรวพราว แม้ในการประกวดการประดิษฐ์ทางรับ คือการนำเพลงที่ไม่เคยรู้จักมาร้องให้ ปี่พาทย์รับ ท่านก็สามารถนำวงรอดได้ทุกครา

      ผลงานเด่นๆ ของท่านมีมากมาย ได้แก่
- ประดิษฐ์วิธีบรรเลงดนตรี "ทางกรอ" ขึ้นใหม่ในเพลง"เขมรเรียบพระนครสามชั้น"    เป็นผลให้ได้รับพระราชทานเหรียญรุจิทอง ร.5 และ ร.6
- ต้นตำรับเพลงทางเปลี่ยน คือ เพลงเดียวกันแต่บรรเลงไม่ซ้ำกันในแต่ละเที่ยว
- พระอาจารย์สอนดนตรีแด่พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จนทรงมีพระปรีชาสามารถ  พระราชนิพนธ์เพลงได้เอง คือเพลง "คลื่นกระทบฝั่งโหมโรง"   "เขมรละออองค์เถา" และ "ราตรีประดับดาวเถา"
- คิดโน๊ตตัวเลขสำหรับเครื่องดนตรีไทยซึ่งได้ใช้มาจนทุกวันนี้
- นำเครื่องดนตรีชวาคือ "อังกะลุง" เข้ามาและได้แก้ไขจนเป็นแบบไทย
- สอนดนตรีไทยในพระราชสำนักเมืองกัมพูชา และได้นำเพลงเขมรมาทำเป็น   เพลงไทยหลายเพลง
- ตันตำรับการแต่งเพลงและบรรเลงเพลง 4 ชั้น

ท่านเป็นคีตกวีในสมัยรัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 7 ซึ่งนับว่าเป็นดวงประทีปทาง ดนตรีไทย ที่ใหญ่ที่สุดในยุคที่ดนตรีไทยเฟื่องฟูที่สุดด้วย

ที่มา
http://mitethai.tripod.com/artist.htm

คีตกวีไทย "เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์"

 นาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์
     เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เกิดวันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ ที่จังหวัดกาญจนบุรี เป็นบุตรคนโตและเป็นผู้ชายคนเดียวในจำนวนพี่น้อง ๕ คน บิดาชื่อ นายฮกหรือสมบัติ มารดาชื่อ นางสมใจ
     ในยุคแรกๆงานประพันธ์ของเขาจะเป็นกลอนรักทั้งสิ้น บทกลอนที่ชื่อ นกขมิ้น ได้รับคัดเลือกนำไปแปลเผยแพร่ในงานกวีนานาชาติ ณ ประเทศเกาหลี
     ได้รับรางวัลซีไรท์ จากบทประพันธ์ “เพียงความเคลื่อนไหว” ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓
     เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๓๓ - ๒๕๓๖ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ เดินทางไปทั่วประเทศเพื่อเขียนบทกวีบันทึกเรื่องราวของทุกจังหวัดไว้ในผลงาน ชุด "เขียนแผ่นดิน" นับเป็นผลงานเอกที่ส่งผลให้ได้รับเกียรติจากคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ประกาศให้เป็น ศิลปินแห่งชาติ เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๓๖

ที่มา
http://guru.sanook.com/pedia/topic/

คีตกวีไทย "พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์)"

พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์)
      "ครูแปลก" เกิดที่หลังวังกรมพระสมมตอมรพันธ์ เป็นศิษย์คนหนึ่งของครูช้อย สุนทรวาทิน ท่านเคยได้บรรเลงเดี่ยวขลุ่ยถวายต่อหน้า สมเด็จพระนางเจ้าวิคทอเรียที่พิพิธภัณฑ์เมืองริมบลีย์ จนถึงกับถูกขอให้ไปเป่าถวายในพระราชวังบัคกิงแฮมต่อด้วย
ครูแปลก เป็นคนติดเหล้าอย่างหนัก แต่ไม่เคยเมาต่อหน้าศิษย์ ได้เป็นครูสอนวงเครื่องสายหญิงของเจ้าดารารัศมี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ครั้งแรกเป็นขุนประสานดุริยศัพท์ จนได้เป็นพระยาประสานดุริยศัพท์ใน พ.ศ. 2458 ท่านเคยเป่าปี่เพลงทยอยเดี่ยวในพระประดิษฐ์ไพเราะฟัง ถึงกับได้รับคำชมว่า "เก่งไม่มีใครสู้"
      นอกจากท่านจะเชี่ยวชาญปี่และขลุ่ยแล้ว ยังเก่งพวกเครื่องหนังด้วย ขนาดสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาภานณุพัธุวงศ์วรเดชตรัสชมว่า "ไม่ใช่คนนี่.. ไอ้นี่มันเป็นเทวดา" ท่านเป็นอาจารย์ของศิษย์ชั้นครูมากมาย เช่นพระเพลงไพเราะ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ พระยาภูมิเสวิน อาจารย์มนตรี ตราโมท เป็นต้น


ผล งานเพลงที่สำคัญได้แก่ เพลงเขมรปากท่อเถา เขมรราชบุรีสามชั้น ธรณีร้องไห้สามชั้น (ธรณีกันแสง) พม่าห้าท่อนสามชั้น วิเวกเวหาสามชั้น แขกเชิญเจ้าสองชั้น
 
ที่มา

ความหมายของ คีตกวี

ความหมายของ คีตกวี
     คีตกวี เป็นคำศัพท์ทางดนตรีที่พบได้บ่อยครั้ง หมายถึง ผู้ประพันธ์ดนตรี มักจะใช้เรียกผู้ที่แต่งและเรียบเรียงดนตรีบางประเภท โดยเฉพาะ ดนตรีคลาสสิก โดยที่ผู้แต่งเพลงมักจะแต่งทั้งท่วงทำนองหลัก และแนวประสานทั้งหมด เพื่อให้นักดนตรีเป็นผู้นำบทเพลงนั้นไปบรรเลงอีกทอดหนึ่ง โดยนักดนตรีจะต้องบรรเลงทุกรายละเอียดที่คีตกวีได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด
      คำว่า คีตกวี ในภาษาไทยนี้ นิยมใช้เรียก ผู้ประพันธ์ดนตรีในแนวดนตรีคลาสสิกของตะวันตก โดยแปลมาจากคำว่า composer นั่นเอง อย่างไรก็ดี บางท่านอาจใช้คำว่า ดุริยกวี แต่ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน สำหรับผู้ที่แต่งเพลงในแนวดนตรีอื่นๆ มักจะเรียกว่า นักแต่งเพลง หรือ ครูเพลง เท่านั้น
      คีตกวี อาจไม่จำเป็นต้องประพันธ์ดนตรีลงในแผ่นกระดาษเพียงอย่างเดียว แต่อาจเป็นผู้บรรเลงบทประพันธ์นั้นเป็นครั้งแรก และในภายหลังมีผู้อื่นนำไปใช้บรรเลงตามก็ได้ชื่อว่า คีตกวี เช่นกัน
โดยทั่วไปเราจะรู้จัก คีตกวี ในฐานะที่เป็น นักดนตรี แม้ว่าหลายท่านจะมีผลงานการประพันธ์ดนตรี มากกว่าผลงานการบรรเลงก็ตาม เช่น เบโทเฟิน, โมซาร์ท, วากเนอร์ ฯลฯ

ที่มา
http://th.wikipedia.org/wiki/

เครื่องเป่า

เครื่องเป่า

ขลุ่ย
ลักษณะ
     ขลุ่ย เป็นเครื่องดนตรีดั้งเดิมของไทย ทำด้วยไม้ไผ่ปล้อง ยาวๆ ไว้ข้อทางปลายแต่เจาะทะลุข้ออย่างไฟให้แห้งแล้วตบแต่งผิวให้ ไหม้เกรียมเป็นลวดลายสวยงาม ด้านหน้าเจาะรูกลมๆเรียงแถวกัน 7 รู สำหรับนิ้วปิดเปิดเสียง ขลุ่ยไม่มีลิ้นเหมือนปี่ แต่เขาใช้ไม้อุดเต็มปล้อง แล้วปาดด้านล่างให้มีช่อง ไม้อุดนี้เรียกว่า ดาก ทำด้วยไม้สักเพราะ ไม่มีขุยมาบังลม ด้านหลังใต้ดากลงมา เจาะรูเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ปาดตอนล่างเป็นทางเฉียงไม่เจาะ ทะลุตรงเหมือนรูด้านหน้า รูที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้านี้ เรียกว่า รูปากนกแก้ว ใต้รูปากนกแก้วลงมา เจาะรูอีก 1 รู เรียกว่า รูนิ้วค้ำ เพราะเวลาเป่า ผู้เป่าจะใช้หัวแม่มือค้ำปิดเปิดที่รูนี้ เหนือรูนิ้วค้ำด้าน หลัง และเหนือรูบนของรูด้านหน้าทั้งเจ็ดรู แต่อยู่ทางด้านขวา เจาะรูอีกรูหนึ่งเรียกว่า รูเยื่อ เพราะแต่ก่อนจะใช้เยื่อไม้ไผ่ปิดรูนี้ ต่อมาก็ไม่ค่อยได้ใช้ ตรงปลายเลาขลุ่ยจะเจาะรูให้ซ้ายขวา ตรงกันเพื่อร้อยเชื่อก เรียกว่า รูร้อยเชือก ดังนั้น จะสังเกตว่า ขลุ่ย 1 เลา จะมีรูทั้งสิ้น 14 รู
 ตัวอย่างการเล่น



ปี่
ลักษณะ 
      ปี่ เป็นเครื่องดนตรีไทย ทำด้วยไม้จริงเช่นไม้ชิงชันหรือไม้พยุง กลึงให้เป็นรูปบานหัวบานท้าย ตรงกลางป่อง เจาะภายในให้กลวงตลอดเลา ทางหัวของปี่เป็นช่องรูเล็กส่วนทาง ปลายของปี่ ปากรูใหญ่ใช้ชันหรือวัสดุอย่างอื่นมาหล่อเสริมขึ้นอีกราวข้างละ ครึ่งซม ส่วนหัวเรียก ทวนบน ส่วนท้ายเรียก ทวนล่าง ตอนกลางของปี่ เจาะรูนิ้วสำหรับเปลี่ยนเสียงลงมาจำนวน 6 รู แต่สามารถเป่าได้เสียงตรง 24 เสียง กับเสียงควงหรือเสียงแทนอีก 8 เสียง รวมเป็น 32 เสียง รูตอนบนเจาะเรียงลงมา 4 รู เว้นระยะห่างเล็กน้อย เจาะรูล่างอีก 2 รู ตรงกลางของเลาปี่ กลึงขวั้นเป็นเกลียวคู่ไว้เป็นจำนวน 14 คู่ เพื่อความสวยงามและกันลื่นอีกด้วย ตรงทวนบนนั้นใส่ลิ้นปี่ที่ทำด้วยใบตาลซ้อนกัน 4 ชั้น ตัดให้กลมแล้วนำไปผูกติดกับท่อลมเล็กๆที่ เรียกว่า กำพวด เรียวยาวประมาณ 5 ซม. กำพวดนี้ทำด้วยทองเหลือง นาก เงิน หรือโลหะอย่างอื่นวิธีผูกเชือกเพื่อ ให้ใบตาลติดกับกำพวดนั้น ใช้วิธีผูกที่เรียกว่า ผูกตะกรุดเบ็ด ส่วนของกำพวดที่จะต้องสอดเข้าไปเลาปี่นั้นเขาใช้ถักหรือเคียน ด้วยเส้นด้าย สอดเข้าไปในเลาปี่ให้พอมิดที่พันด้ายจะทำให้เกิดความแน่นกระชับยิ่งขึ้น
 ตัวอย่างการเล่น



แคน
ลักษณะ
     แคน เป็นเครื่องเป่าพื้นเมืองของชาวอีสานเหนือที่ใช้ไม้ซางขนาด ต่าง ๆ ประกอบกันเข้าเป็นตัวแคน แคนเป็นสัญลักษณ์ของภาคอีสาน เป็นเครื่องเป่ามีลิ้นโลหะ เสียงเกิดจากลมผ่านลิ้นโลหะไปตามลำไม้ที่เป็นลูกแคน การเป่าแคนต้องใช้ทั้งเป่าลมเข้าและดูดลมออกด้วย จึงเป่ายากพอสมควร แคนมีหลายขนาด บางขนาดมีเสียงประสานอยู่ด้วย แคนมีหลายประเภทตามจำนวนลูกแคน
 ตัวอย่างการเล่น
ที่มา

เครื่องตี

เครื่องตี

ฆ้องวงใหญ่
 ลักษณะ
     ฆ้องวงใหญ่เป็นเครื่องดนตรีที่วิวัฒนาการมาจากฆ้องรางของอินโดนีเซีย สันนิษฐานว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ส่วนประกอบของฆ้องวงใหญ่ประกอบด้วยลูกฆ้องและวงฆ้อง ลูกฆ้องมี 16 ลูกทำจากทองเหลืิอง เรียงจากลูกเล็กด้านขวา วงฆ้องสูงประมาณ 24 เซนติเมตร ใช้หวายโป่งทำเป็นราง ให้หวายเส้นนอกกับเส้นในห่างกัน 14-17 เซนติเมตร ใช้หวาย 4 อัน ด้านล่าง 2 อันขดเป็นวงขนานกัน เว้นที่ไว้ให้นักดนตรีเข้าไปบรรเลง 

ตัวอย่างการเล่น



โหม่ง
ลักษณะ
      ฆ้องโหม่ง เป็นฆ้องที่มีหน้ากว้าง วัดผ่านศูนย์กลางราว 30 - 45 ซม. เมื่อตีได้เสียงดัง "โหม่ง - โหม่ง" จึงเรียกชื่อตามเสียงว่า ฆ้องโหม่ง เครื่องดนตรีชนิดนี้เป็นเครื่องดนตรีเก่าแก่มีคู่มากับกลอง เดิมใช้ตีบอกเวลากลางวัน จึงเรียกเวลากลางวันว่า "โหม่ง" ติดปากมาทุกวันนี้ ฆ้องโหม่ง ใช้ตีเป็นจังหวะในการบรรเลงดนตรี

ตัวอย่างการเล่น


กลองสะบัดชัย
ประวัติ
      กลองสะบัดชัย เป็นกลองที่มีมานานแล้วนับหลายศตวรรษ ในสมัยก่อนใช้ ตียามออกศึกสงคราม เพื่อเป็นสิริมงคล และเป็น ขวัญกำลังใจให้แก่เหล่าทหารหาญในการต่อ สู้ให้ได้ชัยชนะ ทำนองที่ใช้ในการตี กลองสะบัดชัยโบราณมี 3 ทำนอง คือ ชัยเภรี, ชัย ดิถี และชนะมาร 
ลักษณะ
      กลองสองหน้าขนาดใหญ่ 1 ลูก หน้ากว้างประมาณ 30 – 35 นิ้ว ยาวประมาณ 45 นิ้ว หน้ากลองหุ้มด้วยหนังตรึงด้วยหมุด ( ล้านนาเรียก ‘' แซว่ ) โดยที่หมุดไม่ได้ตัดเรียบคงปล่อยให้ยาวออกมาโดยรอบ ข้าง ๆ กลองใหญ่ มีกลองขนาดเล็ก 2 - 3 ลูก เรียกว่า ลูกตุบ ‘' กลองลูกตุบทั่วไปมักมีสองหน้าบางแห่งมีหน้าเดียว ขนาดหน้ากว้างประมาณ 8 – 10 นิ้ว ความยาวประมาณ 12 – 15 นิ้ว หน้ากลองหุ้มด้วยหนังตรึงด้วยหมุดเช่นกัน
 ตัวอย่างการเล่น
ที่มา

เครื่องสี

เครื่องสี

ซอด้วง
ลักษณะ
       ซอด้วงเป็น ซอสอง สาย มีเสียงแหลม ก้องกังวาน คันทวนยาวประมาณ 72 ซม คันชักยาวประมาณ 68 ซม ใช้ขนหางม้าประมาณ 120 – 150 เส้น กะโหลกของ ซอด้วงนั้น แต่เดิมใช้กระบอกไม้ไผ่มาทำ ปากกระบอกของซอด้วงกว้างประมาณ 7 ซม ตัวกระบอกยาวประมาณ 13 ซม กะโหลกของซอด้วงนี้ ในปัจจุบันใช้ไม้จริง หรือ งาช้างทำก็ได้
       แต่ที่นิยมว่าเสียงดีนั้น กะโหลกซอด้วงต้องทำด้วยไม้ลำเจียก ส่วนหน้าซอนิยมใช้หนังงูเหลือมขึง เพราะทำให้เกิดเสียงแก้วเกิดความไพเราะอย่างยิ่ง ลักษณะของซอด้วง มีรูปร่างเหมือนกับซอของจีนที่เรียกว่า ฮู – ฉิน  ทุกอย่าง เหตุที่เรียกว่า ซอด้วง ก็เพราะมีรูปร่างคล้ายเครื่องดักสัตว์ เพราะตัวด้วงดักสัตว์ ทำด้วยกระบอกไม้ไผ่เหมือนกีน จึงได้เรียกชื่อไปตามลักษณะนั้นนั่นเอง


 ตัวอย่างการเล่น



ซออู้
ประวัติ
     ซออู้มีรูปร่างคล้ายๆกับซอของจีนที่เรียกว่า ฮู – ฮู้ ( Hu-hu ) เหตุที่เรียกว่าซออู้ก็เพราะ เรียกตามเสียงที่ได้ยินนั่นเอง ซอด้วงและ ซออู้ ได้เข้ามามีบทบาทในวงดนตรีเครื่องสายตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 4 นี่เอง โดยได้ดัดแปลงมาจาก วงกลองแขกเครื่องใหญ่ ซึ่งมีเครื่องดนตรีที่ทำลำนำประกอบด้วย ซอด้วง ซออู้ จะเข้และ ปี่อ้อ ต่อมาได้เอากลองแขก ปี่อ้อ ออก และเอา ทับกับรำมะนา และขลุ่ยเข้ามาแทน เรียกวงดนตรีชนิดนี้ว่าวงมโหรีเครื่องสาย มีคนเล่นทั้งหมด 6 คน รวมทั้ง ฉิ่งด้วย
ลักษณะ
     ซออู้ เป็นซอสองสาย ตัวกะโหลกทำด้วยกะลามะพร้าว โดยตัดปาดกะลาออกเสียด้านหนึ่ง และใช้หนังลูกวัวขึง ขึ้นหน้าซอ กว้างประมาณ 13 – 14 ซม เจาะกะโหลกให้ทะลุตรงกลาง เพื่อใส่คันทวนที่ทำด้วยไม้จริง ผ่านกะโหลกลงไป ออกทะลุรูตอนล่างใกล้กะโหลก คันทวนซออู้นี้ ยาวประมาณ 79 ซม ใช้สายซอสองสายผูกปลายทวนใต้กะโหลก แล้วพาดผ่านหน้าซอ ขึ้นไปผูกไว้กับ ลูกบิดสองอัน ลูกบิดซออู้นี้ยาวประมาณ 17 –18 ซม โดยเจาะรูคันทวนด้านบน แล้วสอดลูกบิดให้ทะลุผ่านคันทวนออกมา และใช้เชือกผูกรั้งกับทวนตรงกลางเป็นรัดอก เพื่อให้สายซอตึง และสำหรับเป็นที่กดสายใต้รัดอกเวลาสี ส่วนคันสีของซออู้นั้นทำด้วย ไม้จริงยาวประมาณ 70 ซม ใช้ขนหางม้าประมาณ 160 - 200 เส้น ตรงหน้าซอใช้ผ้าม้วนกลมๆ เพื่อทำหน้าที่เป็นหมอนหนุน สายให้พ้นหน้าซอ ด้านหลังของกะโหลกซอ แกะสลักเป็นรูปลวดลายสวยงาม และเป็นช่องทางให้เสียงออกด้านนี้ด้วย
 ตัวอย่างการเล่น



ซอสามสาย
ลักษณะ
     ซอสามสาย เป็นเครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่ง จำพวกเครื่องสาย มีขนาดใหญ่กว่าซอด้วงหรือซออู้และมีลักษณะพิเศษ คือมีสามสาย มีคันชักอิสระ กะโหลกซอมีขนาดใหญ่ นับเป็นเครื่องดนตรีที่มีความสง่างามชิ้นหนึ่งในวงเครื่องสาย ผู้เล่นจะอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าของวง
ตัวอย่างการเล่น
ที่มา

เครื่องดีด

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

ดนตรีไทย

ดนตรีไทย เป็นศิลปะแขนงหนึ่งของไทย ได้รับอิทธิพลมาจาก ประเทศต่าง ๆ เช่นอินเดีย จีน อินโดนีเซีย  และอื่น ๆ เครื่องดนตรีมี 4 ประเภท ดีด สี ตี เป่า

ที่มา